วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

่บันทึกการเรียนครั้งที่ 4 
กิจกรรมในห้องเรียนอาจารย์ให้ดูวิดีโอของทีวีครู เรื่อง ห้องเรียนแรกของเด็กพิเศษ แล้วให้เขียนสรุปออกมาเป็นผังความคิดหรือ Mind Mapping พร้อมตกแต่ง ส่งท้ายชั่วโมงเรียน


เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
     - เด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างน่ากลัว ควบคุมอารมณ์ให้ปกตินานๆไม่ได้
     - เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
     - ไม่สามารถอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
เด็กกลุ่มนี้แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
      1. เด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ เช่น เกิดเรื่องที่กระทบต่อจิตใจของเด็ก
      2. ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้
การที่จะคิดว่าเด็กมีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบดังนี้
สภาพแวดล้อม
ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
ไม่สามารถเรียนได้เช่นเด็กปกติ
รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
มีความคับข้องใจ เก็บกดอารมณ์
แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย

  เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก และกำลังได้รับความสนใจจากทางการแพทย์ ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่

1. เด็กสมาธิสั้น   (Attention Deficit / Hyperactivity Disorder - ADHD)
ลักษณะอาการ
1. อาการสมาธิสั้น (Inattention)
1) มีความยากลำบากในการตั้งสมาธิ
2) มักวอกแวกง่าย ตามสิ่งเร้าภายนอก
3) ดูเหมือนไม่ฟังเมื่อมีคนพูดด้วย
4) ทำตามคำสั่งไม่จบ หรือทำกิจกรรมไม่เสร็จ
5) หลีกเลี่ยงที่จะทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายาม
6) ละเลยในรายละเอียด หรือทำผิดด้วยความเลินเล่อ
7) มีความยากลำบากในการจัดระเบียบงานหรือกิจกรรม
8) ทำของหายบ่อยๆ
9) มักลืมกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำสม่ำเสมอ
 2. อาการอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)
1) ยุกยิก ขยับตัวไปมา
2) นั่งไม่ติดที่ มักต้องลุกเดินไปมา
3) มักวิ่งวุ่น หรือปีนป่าย ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
4) ไม่สามารถเล่นเงียบๆได้
5) เคลื่อนไหวไปมา คล้ายติดเครื่องยนต์ตลอดเวลา
6) พูดมากเกินไป
3. อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsiveness)
1) มีความยากลำบากในการรอคอย
2) พูดโพล่งขึ้นมา ก่อนถามจบ
3) ขัดจังหวะ หรือสอดแทรกผู้อื่น ในวงสนทนาหรือในการเล่น
สาเหตุ
      โรคสมาธิสั้น เกิดจากความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วน ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด คาดว่าเกิดจากสารเคมีในสมองบางชนิดไม่สมดุล เช่นdopamine, norepinephrine, serotonin ฯลฯ

ภาวะการเรียนบกพร่อง (Learning Disorders – LD)
สาเหตุของปัญหาการเรียน
•     สติปัญญาบกพร่อง หรือปัญญาอ่อน (Mental Retardation)
•     วิตกกังวล หรือซึมเศร้า (Anxiety or Depression)
•     สมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder ADHD)
•     ภาวะการเรียนบกพร่อง (Learning Disorder –LD)
•     เจ็บป่วยเรื้อรัง (Chronic Illness)
•     ขาดโอกาสทางการศึกษา
•     ขาดแรงจูงใจ (Lack of Motivation)
•     วิธีการสอนไม่เหมาะสม

 2. เด็กออทิสติก
    โรคออทิซึม (อังกฤษ: Autism) เป็นความผิดปกติในการเจริญของระบบประสาท โดยมีลักษณะเด่นคือความบกพร่องด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสารและมีพฤติกรรมทำกิจกรรมบางอย่างซ้ำๆ   ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักเรียกกันว่าผู้ป่วยออทิสติก อาการแสดงดังกล่าวมักปรากฏในวัยเด็กก่อนอายุ 3 ปี
 ลักษณะของเด็กออทิสติก
อยู่ในโลกของตัวเอง โลกส่วนตัวสูง
ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
ไม่ยอมพูด
เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
ยึดติดวัตถุที่ชอบหรือรัก คนอื่นมาแย่งหรือแตะต้องไม่ได้
ต่อต้าน แสดงกิริยาอารมณ์รุนแรง ไร้เหตุผล
มีท่าทีเหมือนคนหูหนวก
ใช้วิธีการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่แตกต่างจากคนทั่วไป

เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Disabilities)
     ความพิการซ้อน (Multiple Disabilities) หมายถึง ความบกพร่องร่วมกันมากกว่า 1 ลักษณะที่เกิดขึ้นต่อบุคคล (Simultaneous impairments) อาทิเช่น บกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับตาบอด หรือบกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ
     โดยปกติแล้ว สำหรับเด็ก ความซ้ำซ้อนเหล่านี้มักก่อให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้ เนื่องจากเด็กไม่สามารถเข้ารับการศึกษาพิเศษที่เหมาะสมต่อความบกพร่องทางใดทางหนึ่งเพียงอย่างเดียวได้  เด็กพิการซ้อนมักมีปัญหาความผิดปกติที่หลากหลาย ซึ่งมักได้แก่ การพูด การเคลื่อนไหวร่างกาย การเรียนรู้ การมองเห็น การได้ยิน ความบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น นอกจากนี้ เด็กยังอาจมีภาวะสูญเสียการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensory Losses) รวมทั้งมีปัญหาด้านพฤติกรรมและสังคม

เด็กปัญญาเลิศ (Gifted child) หรือเด็กอัจฉริยะ
     คือเด็กที่มีระดับสติปัญญาสูงมาก (I.Q. อาจสูงถึง 130-140) เด็กกลุ่มนี้ก็จะดู คล้ายเด็กสมาธิสั้นเนื่องจากความที่เขาฉลาดมาก จึงมักมีความอยากรู้อยากเห็น มีพลังงานในตัวเองมาก นอกจากนี้เขาจะมีสมาธิดีมากใน เรื่องซึ่งตนเองสนใจ แต่ถ้าเรื่องไหนไม่อยู่ในความสนใจ ก็อาจไม่สนใจเลย จึงดูคล้ายเด็กสมาธิสั้นได้ แต่เรื่องไหนที่สนใจ เขาก็จะพยายามค้นคว้าจนมีความรู้เกินวัย ผู้เชี่ยวชาญบางท่านกำหนดเกณฑ์ของเด็กปัญญาเลิศ คือระดับสติปัญญาหรือไอคิว เกิน 130 บางท่านระดับความสามารถในการเรียน สูงกว่า 2ชั้นปี


วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการเรียนครั้งที่ 3

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments)
     เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ หมายถึง ผู้ที่มีอวัยวะไม่สมส่วน อวัยวะส่วนใด ส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนหายไป กระดูกกล้ามเนื้อพิการ เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรงหรือเฉียบพลัน มีความพิการทางระบบประสาทสมอง มีความลำบากในการเคลื่อนไหวจนเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียน และทำกิจกรรมของเด็ก จำแนกได้ดังนี้
  1. อาการบกพร่องทางร่างกาย ที่มักพบบ่อย ได้แก่
    1.1 ซีพี หรือ ซีรีรัล พัลซี (C.P. : Cerebral Passy) หมายถึง การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการหรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด อันเนื่องมาจากการขาดอากาศ ออกซิเจน ฯ เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน ที่พบส่วนใหญ่ คือ
      1.1 อัมพาตเกร็งของแขนขา หรือครึ่งซีก (Spastic)
      1.1 อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Athetoid) จะควบคุมการเคลื่อนไหวและบังคับไปในทิศทางที่ต้องการไม่ได้
      1.1 อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia) การประสานงานของอวัยวะไม่ดี
      1.1 อัมพาตตึงแข็ง (Rigid) การเคลื่อนไหวแข็งช้า ร่างการมีการสั่นกระตุกอย่างบังคับไม่ได้
      1.1 อัมพาตแบบผสม (Mixed)
    1.2 กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy) เกิดจากประสาทสมองที่ควบคุมส่วนของกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาจะค่อย ๆ อ่อนกำลัง เด็กจะเดินหกล้มบ่อย
    1.3 โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic) ที่พบบ่อย ได้แก่
      1.3 ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด
      1.3 ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง
      1.3 กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ มีความพิการเนื่องจากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
    1.4 โปลิโอ (Poliomyelitis) เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกายทางปาก แล้วไปเจริญต่อมน้ำเหลืองในลำคอ ลำไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสเลือดจนถึงระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อเซลล์ประสาทบังคับกล้ามเนื้อถูกทำลาย แขนหรือขาจะไม่มีกำลังในการเคลื่อนไหว
    1.5 แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency) รวมถึงเด็กที่เกิดมาด้วยลักษณะของอวัยวะที่มีความเจริญเติบโตผิดปกติ เช่น นิ้วมือติดกัน 3-4 นิ้ว มีแค่แขนท่อนบนต่อกับนิ้วมือ ไม่มีข้อศอก หรือเด็กที่แขนขาด้วนเนื่องจากประสบอุบัติเหตุ และการเกิดอันตรายในวัยเด็ก
    1.6 โรคกระดูกอ่อน (Osteogenesis Imperfeta) เป็นผลทำให้เด็กไม่เจริญเติบโตสมวัย ตัวเตี้ย มีลักษณะของกระดูกผิดปกติ กระดูกยาวบิดเบี้ยวเห็นได้ชุดจากระดูกหน้าแข็ง
  2. ความบกพร่องทางสุขภาพ ที่มักพบบ่อย ได้แก่
    2.1 โรคสมชัก (Epilepsy) เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมองที่พบบ่อยมีดังนี้
      2.1 ลมบ้าหมู (Grand Mal)
      2.1 การชักในช่วยเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
      2.1 การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
      2.1 อาการชักแบบพาร์ชัล คอมเพล็กซ์ (Partial Complex)
      2.1 อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
    2.2 โรคระบบทางเดินหายใจโดยมีอาการเรื้อรังของโรคปอด (Asthma) เช่น หอบหืด วัณโรค ปอดบวม
    2.3 โรคเบาหวานในเด็ก เกิดจากร่างกายไม่สามารถใช้กลูโคสได้อย่างปกติ เพราะขาดอินชูลิน
    2.4 โรคข้ออักเสบรูมาตอย มีอาการปวดตามข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก ข้อนิ้วมือ
    2.5 โรคศีรษะโต เนื่องมาจากน้ำคั่งในสมอง ส่วนมากเป็นมาแต่กำเนิด ถ้าได้รับการวินิจฉัยโรคเร็วและรับการรักษาอย่างถูกต้องสภาพความพิการจะไม่รุนแรง เด็กสามารถปรับสภาพได้และมีพื้นฐานทางสมรรถภาพดีเช่นเด็กปกติ
    2.6 โรคหัวใจ (Cardiac Conditions) ส่วนมากเป็นตั้งแต่กำเนิด เด็กจะตัวเล็กเติบโตไม่สมอายุ ซีดเซียว เหนื่อยหอบง่าย อ่อนเพลีย ไม่แข็งแรงตั้งแต่กำเนิด
    2.7 โรคมะเร็ง (Cancer) ส่วนมากเป็นมะเร็งเม็ดโลหิต และเนื้องอกในดวงตา สมอง กระตูก และไต
    2.8 บาดเจ็บแล้วเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


บันทึกการเรียนครั้งที่ 2

ความหมาย ประเภท ลักษณะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

โดยสภาพทั่วไปในสังคมหากใครทำอะไร มีอะไร หรือปฏิบัติอะไรที่ไม่เหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ ในสังคมเรามักจะเรียกบุคคลเหล่านี้ว่าเป็นคนที่มีความต้องการพิเศษ ทั้งนี้เพราะสังคมยอมรับและมีบรรทัดฐาน (norm) ที่เป็นตัวกำหนด หรือคาดการณ์ไว้ว่าทุกคนจะต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ และบรรทัดฐานนี้เองจึงเป็นมาตรฐานให้สมาชิกของสังคมทำตามปฏิบัติตาม จนถือเป็นระเบียบแบบแผนแห่งพฤติกรรม หรือการกระทำของตน ดังที่เราคงจะเคยได้ยินได้ฟังเพื่อนๆ เรียกเราในบางครั้งว่าเป็นคนที่มีความ ต้องการพิเศษ เพราะเราทำอะไรได้บางอย่างไม่เหมือนเพื่อนๆ ในกลุ่ม
สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษนั้นเราก็อาศัยบรรทัดฐาน (norm) ที่มีการศึกษาค้นคว้าและบันทึกเอาไว้ว่าเมื่อเด็กเกิดมาแล้วจะต้องมีอะไรมีลักษณะอย่างไร และสามารถปฏิบัติอย่างไรได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในสังคมบ้าง รวมไปถึงเรื่องของพัฒนาการหรือพฤติกรรมว่าเหมือนกับที่มีการศึกษาค้นคว้า
เอาไว้หรือไม่ หากเกิดมาและมีการเบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานที่กำหนดไว้ เราก็มักจะมีเรียกตามลักษณะที่ขาดหายหรือตามที่บกพร่องไป เช่น เด็กตาบอด เด็กปัญญาอ่อน เด็กแขนด้วน ขาด้วน เป็นต้น นั้นเป็นการเรียกกันตามสภาพ ที่เห็นว่าไม่เหมือนคนทั่วไป แต่ในทางวิชาการเรามักจะใช้การเรียกรวมๆ ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ ดังนั้นหากจะจำกัดความของคำว่า เด็กที่มีความต้อง การพิเศษ จะพบว่า มีความหมายที่กว้างมาก ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้พยายามที่จะจำกัดความหรือให้ความหมายคำว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษเพื่อให้เป็นแนวทางสำหรับการเข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษในขอบเขต 3 ประการคือ
  1. ความบกพร่อง (Impairmant) หมายถึง มีการสูญเสียหรือมีความผิดปกติ ของจิตใจและสรีระหรือโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย
  2. ไร้สมรรถภาพ (Disability) หมายถึงการมีข้อจำกัดใดๆ หรือการขาด ความสามารถอันเป็นผลมาจากความบกพร่อง จนไม่สามารถกระทำกิจ กรรมในลักษณะหรือภายในขอบเขตที่ถือว่าปกติ สำหรับมนุษย์ได้
  3. ความเปรียบเทียบ(Handicap) หมายถึงการมีความจำกัดหรืออุปสรรคกัด กั้นอันเนื่องมาจากความบกพร่องและการไร้สมรรถภาพที่จำกัดหรือขัด ขวางจนทำให้บุคคลไม่สามารถบรรลุการกระทำตามบทบาทปกติของเขา ได้สำเร็จ

จากขอบเขตดังกล่าว คำว่า" เด็กที่มีความต้องการพิเศษ" จึงหมายถึงการมีข้อจำกัดใดๆ หรือการขาดความสามารถอันเป็นผลมา จากการให้การช่วยเหลือและการสอนตามปกติทั้งนี้มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกายสติปัญญา และอารมณ์ จำเป็นต้องได้รับการ กระตุ้น ช่วยเหลือ การบำบัด ฟื้นฟูและให้การเรียนการสอนที่เหมาะ กับลักษณะ และความต้องการของเด็ก
คำว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Children with special needs เป็น คำใหม่ และเพิ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้ว ยังมีการให้คำนิยามเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ตามลักษณะของการจัดให้บริการ โดยแยกลักษณะการให้บริการได้ดังนี้
1. ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ว่า เด็กพิการ ดังนั้นเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงหมายถึง ผู้ที่มีความผิดปกติ ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือ ผู้ที่มีการสูญเสียสมรรถภาพอาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกายหรือการสูญเสียสมรรถภาพเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการดำ เนินชีวิตของเขาทำให้เขาไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ดีเท่ากับคนปกติ แต่หากมีการ แก้ไขอวัยวะที่บกพร่องไปให้สามารถให้งานได้ดังเดิมแล้ว สภาพความบกพร่อง อาจหมดไป
2. ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึงเด็กที่มี ความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการคือศึกษาให้ ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตรกระบวนการที่ใช้และการประเมินผล




วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการเรียนครั้งที่ 1


กิจกรรมการเรียนการสอน
อาจารย์ปฐมนิเทศ แนะแนวการสอนและวิธีการสอน 
- ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ได้ร่วกันอภิปราย ซักถาม โดยให้สรุปประเด็นด้วยแผนที่ทางความคิดของตนเอง


   สรุปแผนความคิด